แต่ละคนมีความเครียดที่ไม่เหมือนกัน เรียกว่าทนความเครียดได้ที่ระดับต่างกันจะดีกว่า
แต่ว่าความรู้สึกที่ขาดทุนจะเหมือนกันทั้งหมดคือ ไม่อยากให้ถึงวันที่ตลาดเปิด ไม่อยากเปิดดู Port ว่าขาดทุนมากขนาดไหนแล้ว แล้วไม่รู้ว่าหุ้นจะลงไปมากกว่านี้หรือเปล่า ถ้าจะถั่วเฉลี่ยหรือที่เรียกว่าซื้อเพิ่ม ก็กลัวว่าถ้าซื้อแล้วมันจะลงต่อจะทำอย่างไร กลายเป็นว่ายิ่งติดหนักกว่าเดิมอีก
วิธีการแก้ไขมี 2 วิธี
1.ออกจากตลาด คือไม่ต้องสนใจอีกเลย แต่ถ้าคุณอ่านข้อความนี้อยู่แสดงว่าคุณพร้อมที่จะสู้
2.ทำอาชีพอื่นแล้วเอาเงินมาเติมใน Port ซึ่งผมไม่เสนอวิธีนี้
3.ศึกษาหาความรู้อย่างจริงจังแล้วคิดซะว่าที่ผ่านมาเป็นบทเรียนราคาแพง
แล้วเราจะแก้ปัญหากับหุ้นที่เราติดอยู่อย่างไรดี?
การแก้ปัญหาหุ้นที่ติดอยู่ต้องดูเป็นรายตัว หุ้นบางตัวราคาลงมาเยอะมาก จนถึงเป้าหมายในการลง รอการกลับตัวเพื่อกลับไปสู่จุดที่มันควรจะเป็น
บางตัวลงมาเรื่อยๆ ยังไม่ถึงจุดหมายในการลง แบบนี้น่ากลัว ถ้านึกไม่ออกลองนึกถึงบ้านปูนะครับ จาก 65 เหลืออยู่ไม่ถึง 5 บาท ในตอนแรกมองว่าแถวๆ 40 บาทคิดว่าต่ำแล้ว แต่ว่าหุ้นมันมีราคาที่ต่ำกว่าได้อีกครับ หรือว่า ราคาการบินไทย จาก 56 บาท เหลืออยู่ 3 บาทกว่าๆ การลงของหุ้นเป็นการลงที่ไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วอย่างนี้ Elliott Wave หาเป้าหมายในการลงได้ไหม?
บางครั้งหาได้บางครั้งหาไม่ได้ ในกรณีที่ราคาลงมาถึงเป้า เราจะหาเป้าหมายในการลงได้ แต่ว่าหุ้นที่ลงมาหนักๆ ส่วนมากราคาจะลงมาเลยเป้าทุกครั้ง คือเราไม่สามารถรู้ได้ว่าราคาจะลงมาถึงไหน รอสัญญาณการกลับตัวอย่างเดียว
วิธีที่แก้ไขดีที่สุดแต่ว่าทำได้ยากที่สุด
1.คัดหุ้นที่เราขาดทุน แล้วจดจำนวนเงินที่เราขาดทุนไว้
2.หาหุ้นที่มีโอกาสกำไร 100% ขึ้นไป แล้วให้กำไรมันขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อชดเชยกับของที่เสียไป
คนส่วนมากจะไม่เลือกวิธีนี้ แต่จะเลือกวิธี ซื้อหุ้นตัวเดิมไปเรื่อยๆ จนกว่าราคาถั่วเฉลี่ยถูกลงมาเรื่อยๆ ซึ่งวิธีนี้ทำให้ค่าเฉลี่ยถูกลงมาจริง แต่ถ้าหากราคาลงมาอีกละ กลายเป็นว่ายิ่งติดหนักกว่าเดิม แล้วต้องใช้เวลาในการรอที่นานขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมั่นใจว่าหุ้นที่ลงทุนนั้นเป็นหุ้นที่สามารถสร้างกำไรได้จริง